• 8 พฤษภาคม 2024
  • Thailand

โบรกเกอร์แนะครึ่งปีหลัง 2563 ตลาดหุ้นผันผวนอยู่จากโควิด-19 และความขัดแย้งของสหรัฐฯ-จีน แนะซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อย เลี่ยงหุ้นธนาคารพาณิชย์

โบรกเกอร์แนะครึ่งปีหลัง 2563 ตลาดหุ้นผันผวนอยู่จากโควิด-19 และความขัดแย้งของสหรัฐฯ-จีน แนะซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อย เลี่ยงหุ้นธนาคารพาณิชย์

โบรกเกอร์แนะครึ่งปีหลัง 2563ตลาดหุ้นผันผวนอยู่จากโควิด-19 และความขัดแย้งของสหรัฐฯ-จีน แนะซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อย เลี่ยงหุ้นธนาคารพาณิชย์


ดูเหมือนว่าหลายภาคส่วนจะฝากความหวังเศรษฐกิจของประเทศไว้ในช่วงครึ่งหลัง 2563 เพราะช่วงต้นปีแรกที่ผ่านมาติดลบ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เพราะคนต่างๆระมัดระวังการลงทุน เก็บเงินสดไว้กับตัวเองจำนวนมาก ทำให้ดัชนีหุ้นไทยครึ่งปีแรก ปิดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 อบยู่ที่ 1,339.03 จุด ลดลง 240.81 จุด หรือ 15.24% จากวันที่ 30 ธันวาคม 2562 ปิดที่ 1,579.84 จุด ซึ่งดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,600.48 จุด เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,024.46 จุด เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 รวมถึง มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด วันที่ 30 มิถุนายน 2563 อยู่ที่ 14,411,382.02 ล้านบาท ลดลง 2,336,073.81 ล้านบาท จากวันที่ 30 ธันวาคม 2562 อยู่ที่ 16,747,455.83 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด คาดการณ์ช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนสูงจาก 4 ประเด็น คือ
1. ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในต่างประเทศ อาจทำให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวช้าหรือต่ำกว่าที่ประเมิน
2. สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
3. หลังมาตรการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจจบลง อาจจะมีในบริษัทบางส่วน จะผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย
4. ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้

นอกจากนี้ ยังพบแนวโน้มการลงทุนในวิถีปกติใหม่ (New Normal) หลังจากนี้ผู้ลงทุนอาจจะต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง เพราะธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำมาก และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ เพื่อประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด -19 ส่งผลให้สินทรัพย์ลงทุนหลักของโลกแพงขึ้นทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่รอจังหวะเข้าซื้อหุ้นไทยมองว่ากรอบดัชนีที่ 1,250-1,300 จุดเป็นระดับดัชนีที่ไม่แพง และเป็นจังหวะที่น่าทยอยสะสมอีกครั้ง โดยมีธีมหุ้นเด่นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังคือ กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยจากความผันผวน คือ BAM, CBG และ CPALL ผสานกับหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินชีวิตแบบ New Normal แนะนำ TRUE และแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่คาดว่าจะกลับมาเร่งตัวขึ้นเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะนำ CK และ SCC ดังนั้น 6 หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง คือ BAM, CBG, CK, CPALL, SCC และ TRUE

ขณะเดียวกัน บริษัท หลักทรัพย์ (เคทีบี) ประเทศไทยมจำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลัง 2563 เศรษฐกิจต้องการฟื้นตัวสักระยะหนึ่ง คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวได้ประมาณปลายเดือนกันยายน จนถึงไตรมาสที่ 4 จะดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนราคาหุ้นปัจจุบันปรับเกือบอยู่ในระดับเดิมแล้ว และหุ้นที่ราคาดีก็ยังดีอยู่ อาจจะทำให้ช่วงครึ่งปีหลังมีตัวเลือกหุ้นน้อย รวมทั้งยังมีกระเด็นการเมืองในประเทศ แต่มองว่าหากมีการปรับครม.ใหม่ น่าจะเป็นบวกกับจลาดทุนเพราะเข้ามากระตุ้นการลงทุน ที่ทำให้เห็นผลมากกว่าการกระตุ้นการบริโภค

ด้านการลงทุนครึ่งปีหลังแนะนำ กลุ่มพลังงานและปิโตเลียมเคมี เช่น PTTGC ,IVL และ PTT กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ LH, SPALI,AP และ ORI กลุ่มห้างสรรพสินค้า แนะนำ CRC กลุ่มมีประเด็นเฉพาะตัวแนะนำ ADVANC และกลุ่มที่มีเงินปันผลสูง แนะนำ TISCO ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความเสี่ยง